ทิสโก้ชี้โอกาสลงทุนหุ้นญี่ปุ่น – ยุโรป หลังตลาดหุ้นปรับฐานลงแรงนับตั้งแต่ต้นปี ทำให้ Valuation ในตลาดถูกสุดในรอบหลายปี จากความกังวลเงินหยวนอ่อนค่าทุนจีนไหลออก-ราคาน้ำมันดิ่ง-ธนาคารยุโรปขาดทุน แต่เชื่อว่า ตลาดหุ้นจะฟื้นตัวขึ้นหลังตลาดคลายความกังวลจากสถานการณ์ดังกล่าว
นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO Economic Strategy Unit: TISCO ESU) กล่าวว่า ตลาดหุ้นมีความกังวลต่อปัจจัยกดดัน 3 ประเด็น ได้แก่ การอ่อนค่าของเงินหยวนและความเสี่ยงเงินทุนไหลออกจากจีน การปรับตัวลงแรงของราคาน้ำมัน และความกังวลต่อการขาดทุนของธนาคารในยุโรป อย่างไรก็ตาม TISCO ESU เชื่อว่า ความกังวลดังกล่าวมีแนวโน้มคลี่คลายลงในระยะถัดไป และจะทำให้ตลาดหุ้นมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น จึงแนะนำให้ใช้โอกาสที่ตลาดปรับฐานเพิ่มการลงทุนในตลาดหุ้น “ญี่ปุ่น” และ “ยุโรป” ที่ปรับตัวลงมาแรง
“มีแนวโน้มที่สถานการณ์ที่กดดันตลาดในขณะนี้จะคลี่คลายลง ในประเด็นค่าเงินหยวน การเข้าแทรกแซงค่าเงินหยวนในฮ่องกงของธนาคารกลางจีน (PBoC) ประกอบกับทิศทางการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีท่าทางชะลอการขึ้นดอกเบี้ยออกไป จะทำให้ความกังวลต่อการอ่อนค่าของเงินหยวนเริ่มคลี่คลาย โดยหลังจากการให้สัมภาษณ์ของผู้ว่าธนาคารกลางจีนในวันที่ 14 ก.พ. ค่าเงินหยวนได้กลับมาอยู่ในระดับแข็งค่าสุดนับจากต้นปี ส่วนในประเด็นราคาน้ำมัน เราคาดว่าราคาน้ำมันได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น เนื่องจากราคาปรับตัวลดลงต่ำเข้าใกล้ต้นทุนการผลิต ส่งผลกดดันให้ผู้ผลิตน้ำมัน Shale Oil ในสหรัฐฯ ลดปริมาณการผลิตลง ทำให้ภาวะอุปสงค์-อุปทานในตลาดโลกกลับมาสมดุลขึ้นในปีนี้” นายคมศร กล่าว
ส่วนประเด็นสุดท้าย ความกังวลต่อหุ้นกลุ่มธนาคารในยุโรปมีแนวโน้มคลี่คลายลงเช่นกัน หลังจาก Deutsche Bank ยืนยันว่าธนาคารยังมีเงินกองทุนเพียงพอที่จะจ่ายให้ผู้ลงทุน (Available Distributable Item : ADI) จำนวน 1,000 ล้านยูโร ในปี 2016 ซึ่งมากเพียงพอที่จะจ่ายดอกเบี้ยของดอกเบี้ยของหุ้นกู้แปลงสภาพชนิดพิเศษ (Contingent Convertible Bond : CoCo) จำนวน 350 ล้านยูโร ซึ่งจะมีกำหนดจ่ายในเดือน เม.ย. และในวันที่ 12 ก.พ. ที่ผ่านมา Deutsche Bank ประกาศซื้อคืนตราสารหนี้ของตนเองมูลค่า 5,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อตลาด และส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 12% หลังตลาดรับรู้ข่าว
ทั้งนี้ สถานการณ์ตลาดหุ้นปรับฐานลงแรงนับจากต้นปี ทำให้ Valuation ปรับตัวลงมาอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบหลายปี โดยค่า PBV ของดัชนีตลาดหุ้นโลก (MSCI All Country World) ปรับตัวลงมาอยู่ในระดับต่ำสุดตั้งแต่ปี 2013 และ PBV ของดัชนีตลาดหุ้นเอเชีย (MSCI Asia ex Japan) ต่ำสุดนับจากวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2009