บลจ. ทิสโก้ตอกย้ำภาพผู้นำทางด้านทริกเกอร์ฟันด์ ส่งกองทริกเกอร์ “หุ้นจีน – น้ำมัน”เข้าเป้า 8% 2 กองรวด จับจังหวะตลาดรีบาวด์ หลังบริหารเพียง 1 เดือนกว่า และ 2 เดือนกว่าตามลำดับ เตรียมปิดกองคืนเงินลูกค้า ย้ำข้อดีทริกเกอร์ฟันด์ช่วยนักลงทุนเปิดโอกาสเพิ่มผลตอบแทนยามตลาดผันผวน มองตลาดหุ้น “ยุโรป-ญี่ปุ่น-จีน” ยังไปต่อ
นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนรวมบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด (บลจ. ทิสโก้) (Mr. Saharat Chudsuwan, Head of Marketing and Wealth Advisory, Mutual & Private Fund Business, TISCO Asset Management Co.,Ltd.) เปิดเผยว่า ด้วยความเชี่ยวชาญของ บลจ.ทิสโก้ ในการนำเสนอกองทุนประเภททริกเกอร์ฟันด์ ที่เป็นทางเลือกให้แก่ผู้ลงทุนในจังหวะเวลาที่เหมาะสม และสามารถบริหารกองทุนจนเข้าเป้าหมายที่วางไว้ โดยล่าสุดในสัปดาห์ที่ผ่านมา บลจ.ทิสโก้ สามารถบริหารกองทุนเข้าเป้าหมายและสามารถปิดกองทุนเพิ่มอีก 2กองทุน ได้แก่ “กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า ทริกเกอร์ 8% #23” (TISCOC23) ที่ลงทุนในหุ้นจีน และ“กองทุนเปิด ทิสโก้ ออยล์ ทริกเกอร์ 8% #7 (TOIL7) ที่ลงทุนในน้ำมัน โดย ณ วันที่ 7 ต.ค. 58 ทั้ง 2กองทุนดังกล่าวเข้าเงื่อนไขยกเลิกโครงการ โดยกองทุน TISCOC23 มีมูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) ที่ 10.8156บาทต่อหน่วย และกองทุน TOIL7 มีมูลค่าหน่วยลงทุนที่ 10.8578 บาทต่อหน่วย จึงเข้าเงื่อนไขเลิกโครงการที่ 8% หลังใช้เวลาบริหารกองทุนเพียง 1 เดือน 7 วัน และ 2 เดือน 1 วัน ตามลำดับ พร้อมปิดกองคืนเงินแก่ผู้ลงทุนได้ก่อนกำหนด นับเป็นการตอกย้ำภาพผู้นำการลงทุนต่างประเทศ และการจับจังหวะลงทุนที่แม่นยำของ บลจ. ทิสโก้ ได้อีกครั้ง
“เราจับจังหวะการออกกองในช่วงที่ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลงอย่างมากจากความกังวลต่อมาตรการของจีนในการควบคุมการเก็งกำไรตลาดหุ้น ทำให้ตลาดอยู่ในสภาวะ oversold พอความกังวลเริ่มคลี่คลาย ขณะที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวได้ในอนาคต ประกอบกับการชะลอการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐ ทำให้ กองไชน่าทริกเกอร์ 23 ถึงเป้าหมายอย่างรวดเร็ว ส่วนกอง ออยล์ ทริกเกอร์ 7 ได้ปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันตลาดโลกที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้น จากกำลังผลิตที่ลดลง เนื่องจากผู้ผลิตน้ำมันซึ่งมีต้นทุนสูงทยอยลดกำลังการผลิตและปรับลดการลงทุนลง ซึ่งเป็นไปตามที่เราคาดการณ์ไว้”
นายสาห์รัชกล่าวต่อไปว่า กองทุนทริกเกอร์ฟันด์ต้องใช้ความชำนาญและความเฉียบคมในการจับจังหวะการลงทุนให้แก่ลูกค้า โดยมีการกำหนดเป้าหมายผลตอบแทนเพื่อเลิกกองทุนที่่ชัดเจน ซึ่งเป็นทางเลือกการลงทุนอีกรูปแบบหนึ่งที่อาจเหมาะกับสภาวะตลาดที่มีความผันผวนสูงเช่นในสภาวะปัจจุบัน การลงทุนแบบทริกเกอร์ฟันด์จึงถือเป็นกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้แต่ไม่มีเวลาในการติดตามตลาดใกล้ชิด
โดยบลจ. ทิสโก้ สามารถสร้างผลงานการบริหารกองทุนทริกเกอร์ฟันด์ได้อย่างโดดเด่น วัดได้จากจำนวนกองทริกเกอร์ฟันด์ที่เสนอขายตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (1 ม.ค. – 9 ต.ค.) มีจำนวนทั้งสิ้น 28 กองทุน โดยครบกำหนดอายุกองทุนแล้ว 12 กอง และอยู่ระหว่างลงทุน 16 กองทุน โดยในจำนวนกองที่ครบกำหนดอายุ ถึงเป้าหมายทั้งสิ้น 11 กอง หรือคิดเป็นสัดส่วนกองทริกเกอร์ฟันด์ที่ถึงเป้าหมายถึง 92% (11 กอง จาก 12 กอง)
“สำหรับมุมมองการลงทุน ทิสโก้ยังคงแนะนำให้ลงทุนในตลาดต่างประเทศมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดหุ้นในประเทศพัฒนาแล้วอย่าง ยุโรป เยอรมัน ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีการกระตุ้นเศรษฐกิจและมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ยังแข็งแกร่ง ซึ่งหากดูตลาดหุ้นดังกล่าว ล้วนมีผลตอบแทนที่โดดเด่นเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นไทย โดย SET Index มีผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน (YTD) อยู่ที่ -5.8% ขณะที่หุ้นยุโรป ดัชนี Europe STOXX50 ให้ผลตอบแทนที่ 3.65%, หุ้นเยอรมัน ดัชนี DAX ให้ผลตอบแทนที่ 3.0%, และหุ้นญี่ปุ่น ดัชนี Nikkei225 ให้ผลตอบแทนที่ 5.7%, ตามลำดับ ส่วนตลาดหุ้นจีน ทิสโก้ยังคงมองว่าน่าลงทุน เนื่องจากมี valuation ที่ถูกและอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับช่วงเกิดวิกฤติสหรัฐ ในปี 2008 ขณะที่เศรษฐกิจคาดว่าชะลอมาถึงจุดต่ำสุด และจะปรับตัวดีขึ้้นในอนาคตจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการจีน” นายสาห์รัช กล่าว
ทั้งนี้ ณ วันที่ 12 ตุลาคม 2558 บลจ. ทิสโก้สามารถบริหารกองทุนทริกเกอร์ฟันด์ ถึงเป้าหมายและเลิกโครงการแล้ว 65 กองทุน จากจำนวนทริกเกอร์ฟันด์ภายใต้การจัดการทั้งหมด 104 กองทุน ผู้สนใจกองทุนทิสโก้ สามารถติดต่อ บลจ. ทิสโก้ หรือ ธนาคารทิสโก้ทุกสาขา หรือสอบถามรายละเอียดได้ที่ TISCO Contact Center โทร. 02-633-6000 กด 4
คำเตือน
• ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
• การกำหนดเป้าหมาย 8% เป็นเพียงการกำหนดเป้าหมายที่เป็นเหตุให้มีการเลิกกองทุนหรือรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติเท่านั้น ไม่ใช่ประมาณการหรือการรับประกันว่าผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนตามมูลค่าที่กำหนดเมื่อเลิกกองทุนหรือเมื่อมีการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ ทั้งนี้ หากภาวะตลาดหรือภาวการณ์ลงทุนเปลี่ยนแปลงไปจากการคาดการณ์ กองทุนรวมอาจไม่ดำเนินการเลิกกองทุนหรือรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติก็ได้ซึ่งเป้าหมายเลิกโครงการเป็นเป้าหมายก่อนหักค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง (ถ้ามี)
• ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต