บทสรุปการเลือกตั้งสหรัฐฯ และแนวทางการลงทุนหลังเลือกตั้ง
โพสต์เมื่อ 07 พฤศจิกายน 2567 | บทความโดย : TISCO Fund Manager
ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านไป เหตุการณ์สำคัญที่หลายๆ ท่านอาจเฝ้ารอและจับตาดู ก็คือการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็ได้สิ้นสุดลง ซึ่งหลังจากการนับคะแนน ผู้ที่ได้รับชัยชนะและจะรับตำแหน่งประธานาธิบดีคนต่อไปก็คือคุณโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน โดยจะเป็นการรับตำแหน่งครั้งที่สอง หลังจากครั้งแรกในปี 2016 ก่อนจะเสียตำแหน่งให้คุณโจ ไบเดนในการเลือกตั้งครั้งถัดมา
ภายหลังการนับคะแนน ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีการปรับตัวสูงขึ้นตอบรับชัยชนะของคุณทรัมป์ สะท้อนถึงความหวังต่อนโยบายที่คาดว่าจะเอื้อต่อตลาดทุนสหรัฐฯ เราจึงขอสรุปนโยบายที่คุณทรัมป์มีแนวโน้มจะประกาศใช้ และผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจโลกและตลาดทุนในภาพกว้างดังนี้
ในระยะสั้น นโยบายที่สำคัญนโยบายแรกที่จะมีผลคือการลดภาษีนิติบุคคล ซึ่งเราคาดว่าเป็นปัจจัยบวกที่ส่งผลให้ตลาดปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา โดยหากนโยบายดังกล่าวมีการบังคับใช้จริง ก็จะส่งผลบวกต่อกำไรของบริษัทในสหรัฐฯ ที่จะเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับที่เราเห็นในการรับตำแหน่งในรอบที่แล้ว ซึ่งจะมีผลต่อมายังการบริโภคภายในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ นอกจากนี้ คุณทรัมป์ยังอาจมีนโยบายอื่นๆ ที่เอื้อต่อการบริโภคและการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ กล่าวคือ การลดความเข้มงวดของนโยบายการดำเนินธุรกิจ โดยจากนโยบายที่เราคาดการณ์ คาดว่าน่าจะเป็นผลดีต่อกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากการบริโภคในสหรัฐฯ เช่น กลุ่มการเงิน และกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานที่อาจได้รับประโยชน์จากการใช้พลังงานฟอสซิลมากขึ้น
ในระยะยาว อาจมีประเด็นที่ต้องระมัดระวัง ประเด็นแรก คือ การตั้งกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลลบต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นของประเทศคู่ค้าที่สำคัญ เช่น ภูมิภาคยุโรปและประเทศจีนที่มีสัดส่วนการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ สูง และในระยะถัดไป อาจส่งผลต่อต้นทุนของผู้บริโภคและธุรกิจในสหรัฐฯ เองที่จะสูงขึ้น นำไปสู่อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นและการชะลอตัวของเศรษฐกิจในระยะยาว ประเด็นที่สอง คือ ระดับหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ที่อาจเพิ่มสูงขึ้นจากเดิมจากแนวโน้มนโยบายที่มีความเอนเอียงไปทางประชานิยมมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อไปยังความน่าเชื่อถือของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
แม้ว่านโยบายที่จะมีการประกาศใช้โดยประธานาธิบดี จะมีผลต่อทิศทางเศรษฐกิจทั้งในสหรัฐฯ เองและประเทศอื่นๆ ทั่วโลก แต่ในระยะยาว ปัจจัยที่ควรให้ความสำคัญมากที่สุดยังคงเป็นความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในตลาด ซึ่งบริษัทในตลาดสหรัฐฯ ได้พิสูจน์มาอย่างยาวนานว่าเป็นประเทศที่สามารถผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาได้หลายๆ ครั้ง ไม่ว่าจะเป็นภาวะสงคราม วิกฤติเศรษฐกิจ หรือโรคระบาด ซึ่งเรายังคงมองว่าตลาดสหรัฐฯ มีความน่าสนใจในการลงทุนในระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตและคุณสมบัติด้านคุณภาพที่เด่นชัดกว่าตลาดอื่นๆ แม้ว่าในระยะสั้น ตลาดอาจมีความผันผวนเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาที่คาบเกี่ยวกับการเลือกตั้ง แต่หากเราสามารถรับความผันผวนในระยะสั้นได้ การลงทุนในตลาดสหรัฐฯ ยังคงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจเสมอ