โรคระบาดจากไวรัสต่างๆ ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ ได้กลายเป็นปัญหาที่รุมเร้า จนทำให้โลก เกิดอาการป่วย … สถานการณ์ลักษณะนี้ นักลงทุนควรทำอย่างไรดี ที่จะสร้างผลตอบแทนให้กับพอร์ตได้…ในยามที่โลกยังไม่ฟื้นตัว
1.สามารถต้านทานต่อภาวะความผันผวนได้ในระยะยาว
2.สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดี
หุ้นจีนแผ่นดินใหญ่นี่แหละโอกาส!
รอบนี้ ประเทศจีน เป็นต้นทางของการแพร่ระบาดไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 แต่ทำไมเราถึงยังแนะนำให้ลงทุนหุ้นในกลุ่ม A-Shares ซึ่งเป็นบริษัทที่มีถิ่นฐานการทำธุรกิจในประเทศจีนล่ะ ?
“คุณณัฐกฤติ” อธิบายว่า นั่นก็เป็นเพราะหุ้นในดัชนี A-Shares มีกลุ่มที่น่าสนใจอย่างมาก นั่นก็คือ กลุ่มสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภค (Consumer) และกลุ่มธุรกิจการแพทย์ (Health care) ยกตัวอย่างเช่น บริษัทยา ซึ่งมีความต้องการบริโภคภายในประเทศสูงมาก จึงทำให้ได้รับผลกระทบภาวะโรคภัยที่เกิดขึ้นน้อย ในทางตรงกันข้าม กลับมีความต้องการเพิ่มขึ้นมากด้วย
ความน่าสนใจยังไม่จบเพียงแค่นี้! เพราะในภาพรวม หุ้นจีนในกลุ่ม A-Shares ยังได้รับปัจจัยบวกจากการที่รัฐบาลจีนเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อเพิ่มสภาพคล่องในระบบอย่างต่อเนื่อง และเน้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มขึ้น เพื่อพยุงเศรษฐกิจไม่ให้คนตื่นตระหนกมากเกินไป ตั้งแต่ต้นปี 2563
และที่สำคัญก็คือ อัตราส่วนราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) ของตลาดหุ้น A-Shares ยังไม่ได้อยู่ในระดับสูง โดยล่าสุด fwd P/E อยู่ที่ราว 11.2 ซึ่งสะท้อนว่า หากเข้าไปลงทุนในเวลานี้ นักลงทุนก็จะได้หุ้นในราคาที่ไม่แพงนัก
หุ้นกลุ่มดิจิทัลเฮลธ์แคร์ทั่วโลก
“แนะนำหุ้นดิจิทัลเฮลธ์แคร์ ทำไม… ไม่เห็นจะต่างกับการลงทุนหุ้นโรงพยาบาลเลย?!” ต้องขอบอกว่า นี่ไม่ใช่ความคิดที่ถูกต้องนัก เพราะหุ้นดิจิทัลเฮลธ์แคร์ คือตัวแทนของ “การแพทย์ยุคใหม่” ที่เน้นใช้นวัตกรรมเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการแพทย์ของบริษัทตัวเอง ซึ่งมีหลากหลายรูปแบบ ยกตัวอย่างเช่น
“Teladoc” บริษัทผู้พัฒนาระบบเครือข่ายโทรศัพท์และ video conferencing ที่เข้ามาช่วยเชื่อมโยงคนไข้และบุคคลากรทางการแพทย์ ผ่านโทรศัพท์ และเครือข่ายอินเตอร์เน็ท ในชื่อ Telehealth ให้คำปรึกษาทางการแพทย์ออนไลน์ทั่วโลก
“Novocure” ผู้คิดค้นการรักษามะเร็งในสมอง , เนื้องอก โดยใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า รวมถึงการใช้แม่เหล็กไฟฟ้าเพื่อลดการเติบโตของเซลล์ ซึ่งผลของการรักษา ช่วยให้ผู้ป่วยมีอัตราการรอดชีวิตสูงขึ้น
โดยทั้งหมดนี้ สรุปได้เลยว่า “ดิจิทัลเฮลธ์แคร์” เป็นสิ่งที่จะอยู่ในกระแสความต้องการของคนทั้งโลกในระยะยาว หรือเรียกได้ว่าเป็น “เมกกะเทรนด์” นั่นเอง
หุ้น E-commerce ดาวเด่นที่น่าสนใจ
นอกจากธุรกิจ E-Commerce จะอิงกระแส Mega Trend ในเรื่อง Internet Breakthrough เป็นธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตสูง ทนทานต่อทุกสภาวะเศรษฐกิจ และสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะยาว อย่างที่หลายๆคนทราบแล้ว ธุรกิจนี้ ก็ยังมีความโดดเด่นอีกหลายเรื่อง ยกตัวอย่างคร่าวๆ ก็คือ
- ปัจจุบัน ผู้บริโภคเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้มากขึ้นและมีแนวโน้มใช้จ่ายผ่านระบบออนไลน์มากขึ้น (อัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตโดยเฉลี่ยทั่วโลก ประมาณ 53% โดยอเมริกามีอัตราประมาณ 88%)
- ธุรกิจ E-Commerce แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ
- Traditional Retailers
- Online Travel Agency
- Market Place
ซึ่งธุรกิจเหล่านี้อยู่ในช่วง Growth Stage และยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าในช่วง 2 – 3 ปีข้างหน้าจะยังคงเติบโตได้กว่า 15%
- ธุรกิจ E-Commerce สามารถเก็บข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคได้ ทำให้สามารถนำเสนอสินค้า บริการ และโปรโมชั่นต่างๆ ได้ตรงตามความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น
- ผู้บริโภคมีความสะดวกในการเลือกซื้อสินค้าและบริการ และการชำระเงินทำให้ง่ายต่อการใช้จ่าย
…ดังนั้น แม้จะเกิดความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ เกิดปัญหาทางการเมืองระดับโลก หรือมีปัญหาโรคระบาดเกิดขึ้น ในระหว่างที่ลงทุน ก็ไม่น่าจะส่งผลกระทบระยะยาวต่อธุรกิจกลุ่มนี้
แม้โลกจะยังไม่ฟื้นตัว … แต่คุณยังมีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีได้