TH EN

เมื่อคนจีนมีกำลังซื้อสูง จะใช้จ่ายกับธุรกิจอะไร ?

โพสต์เมื่อ 2 กุมภาพันธ์ 2564 | บทความโดย : บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)ทิสโก้

จะพาไปลงทุนธุรกิจในประเทศจีน แถมยังเป็นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย ...แน่ใจแล้วหรือ ว่ากำลังซื้อของคนจีนยังดีอยู่? เศรษฐกิจโลกก็ไม่ดี แล้วธุรกิจจีนจะไปต่อไหวหรือเปล่า? ฯลฯ เราขอนำคำถามที่คุณสงสัย มาตอบให้ในบทความนี้

        ที่ผ่านมาการลงทุนต่างประเทศ เป็นสิ่งที่นักลงทุนไทยให้ความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแทบทุกปี โดยจะเห็นได้จากมูลค่าสินทรัพย์สุทธิภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) ของกองทุนรวมเพื่อการลงทุนต่างประเทศ (FIF) ทั้งอุตสาหกรรม ที่ขยายตัวตั้งแต่ระดับราว 1.6 พันล้านบาทในปี 2545 จวบจนกระทั่งใน เดือน ธ.ค. 2562 ได้ไต่ระดับทะยานมาจนถึงกว่า 1 ล้านล้านบาทแล้ว  (Source : สมาคมบริษัทจัดการลงทุน)
        แต่ที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้น ก็คือ รายงานข้อมูลจาก บริษัท มอร์นิ่งสตาร์รีเสิร์ช (ประเทศไทย) จำกัด ที่ระบุว่า ณ สิ้นปี 2563 กองทุน FIF เกิดการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดย “กองทุนหุ้นจีน” กลายเป็นกลุ่มที่มีมูลค่าทรัพย์สินสูงสุดที่ 1.2 แสนล้านบาท

        ถึงตอนนี้ นักลงทุนหลายคนอาจจะเริ่มมีคำถามเกี่ยวกับการลงทุนในประเทศนี่้ … เราจะพาไปไขคำตอบประเด็นหลักๆ ที่น่าสนใจกัน

 

กำลังซื้อของคนจีน จะมีแค่ไหนกันเชียว?

        ธนาคารโลก (World Bank) ได้ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันประชากรโลกมีมากกว่า 7.6 พันล้านคน  โดย “ประเทศจีน” ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีกำลังซื้อมหาศาล เพราะมีจำนวนประชากรมากเป็นอันดับ 1 ของโลก อยู่ที่ประมาณ 1,400 ล้านคน 

        ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจของจีนก็ยังเติบโตอย่างโดดเด่น โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าในปี 2564 เศรษฐกิจจีนจะเติบโตถึง 8.1% ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการผลักดันและยกระดับการบริโภคภายในประเทศของรัฐบาลจีน การควบคุมการแพร่ระบาด COVID-19 ได้อย่างดี ประกอบกับเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าของจีนรวมถึง Internet ที่มีประสิทธิภาพได้สนับสนุนการบริโภค และการท่องเที่ยวในประเทศให้เติบโตอย่างมาก

        เมื่อ ประชากรมีจำนวนมากขนาดนี้ ผสานกับแนวโน้มการฟื้นตัวที่ดีทางเศรษฐกิจ ก็ยิ่งเป็นแรงหนุนให้คนจีนมีอำนาจแรงซื้อมหาศาลอยู่ในมือ … ไม่ใช่เพียงแค่สินค้าอุปโภค บริโภคเท่านั้น แต่จะไหลไปสู่หมวดสินค้าฟุ่มเฟือย (Consumer Discretionary) อย่างมากด้วย

ธุรกิจสินค้าฟุ่มเฟือยประเภทไหนในจีนจะได้ประโยชน์ ?

      จากการสำรวจของ McKinsey ได้พบข้อมูลที่น่าสนใจว่า จีนเป็นประเทศที่ประชากรเชื่อมั่นมากที่สุดว่าเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวเป็นปกติหลังจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ซึ่งปัจจัยนี้เอง จึงมีส่วนสนับสนุนให้คนกล้าใช้จ่ายสินค้าในหมวดสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น รถยนต์ กระเป๋า การท่องเที่ยว ภัตตาคาร มากกว่าประเทศอื่น ๆ ในโลก

 

โดย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ ประเมินว่า 4 ธุรกิจในประเทศจีนที่จะได้รับอานิสงส์จากแรงซื้อมหาศาลของคนในประเทศ ได้แก่

        1.การท่องเที่ยว : การจัดการการแพร่ระบาดของไวรัสและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจีน ได้ส่งผลให้การท่องเที่ยวในประเทศจีนฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว (ประเมินจากเที่ยวบินใน เฉิงตู,กวางโจว, เซี่ยงไฮ้) สวนทางกับการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ ซึ่งยังไม่สามารถเคลื่อนไหวในทิศทางที่ดีอย่างเด่นชัดเท่าใดนัก (Source : Ministry of Transport :STR;Wind Investment Terminal; monthly reports airlines)

        2.การค้าขายออนไลน์ (E-commerce) : จีนเป็นหนึ่งในประเทศที่มีคนซื้อของออนไลน์เป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม พบว่าประชากรจีนยังเข้าใช้งานอินเตอร์เน็ตได้ราว 900 ล้านคน หรือคิดเป็นเพียง 60% ของประชากรทั้งหมดเท่านั้น นี่จึงเป็นโอกาสที่ธุรกิจออนไลน์ จะเติบโตได้อีกมาก

        3.รถยนต์ไฟฟ้า : รถยนต์ไฟฟ้าเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ทั้งคนจีนและทั่วโลกต่างให้ความสนใจ โดยประเทศจีน มี 2 แบรนด์ ที่น่าจับตา คือ BYD Automobile Co Ltd  ซึ่งถูกขนานนามว่าเป็น Toyota หรือ Volkswagen แห่งรถยนต์ไฟฟ้าที่จีน และ NIO ซึ่งถึงขั้นมีคนนำไปเปรียบเทียบว่า เป็น Tesla ของฝั่งเอเชียเลยทีเดียว โดยปัจจุบันทั้งสองบริษัทนี้ มีมูลค่าบริษัทผลิตรถยนต์ติดอันดับ 4 และ 5 ของโลก (ตามลำดับ) (Source : Bloomberg data as of 22 Jan 2021)

        4.การศึกษาออนไลน์ :  รายได้ของการให้บริการการศึกษา Online ในจีน เติบโตได้เฉลี่ยปีละกว่า 20% ยกตัวอย่างบริษัทที่น่าสนใจ คือ NEW ORIENTAL EDUCATION & TECHNOLOGY GROUP (“EDU”) ผู้ให้บริการด้านการศึกษาหลากหลายด้าน เช่น คอร์สเรียนภาษา คอร์สเรียนต่อต่างประเทศ ฯลฯ โดยบริษัทนี้มีศูนย์การเรียนรู้ถึง 1,472 แห่ง และ ร้านหนังสือ 12 แห่ง และมีนักเรียนจำนวนมากถึง 58.4 ล้านคน 

        ด้วยจุดเด่นตามที่กล่าวมา ธุรกิจ Consumer Discretionary ทั้ง 4 หมวด จึงมีโอกาสที่จะได้รับประโยชน์จากพลังซื้อจากคนจีน

 

TCHCON … เพิ่มโอกาสเติบโต กับพลังการบริโภคอันยิ่งใหญ่ของจีน

        “คุณสาห์รัช ชัฏสุวรรณ” ผู้อำนวยการสายการตลาด และที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ที่สนใจลงทุนในธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตดี บลจ.ทิสโก้จึงเปิดเสนอขาย กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า คอนซูเมอร์ (TCHCON) ความเสี่ยงระดับ 7 (ความเสี่ยงสูง) กองทุนรวมตราสารทุนเน้นลงทุนในหุ้นที่อยู่ในหมวดธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค ประเภทสินค้าฟุ่มเฟือย (Consumer Discretionary) ผ่านหน่วยลงทุนของกองทุน  Global X MSCI China Consumer Discretionary ETF (กองทุนหลัก) ที่จดทะเบียน ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE Arca, Inc.) ลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท เสนอขายครั้งแรก (IPO) 1 - 9 กุมภาพันธ์ 2564 

        พิเศษสำหรับลูกค้าที่มียอดเงินลงทุนในกองทุน TCHCON ระหว่างวันที่ 1 - 9 กุมภาพันธ์ 2564 ตั้งแต่ 20-29.99 ล้านบาท รับทองคำหนัก 2 สลึง และยอดเงินลงทุนตั้งแต่ 30 ล้านบาทขึ้นไป รับทองคำหนัก 1 บาท (1 ท่าน ต่อ 1 สิทธิ์) 


        กองทุนเปิด TCHCON ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก และอาจมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนจากการลงทุนในต่างประเทศ จึงมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนรวม ผู้สนใจลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า ศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนรวม โดยเฉพาะนโยบายการลงทุน เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุนที่ได้เปิดเผยไว้ที่ www.tiscoasset.com และสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บลจ.ทิสโก้ หรือ ธนาคารทิสโก้ทุกสาขา หรือ TISCO Contact Center โทร. 0 2633 6000 กด 4, 0 2080 6000 กด 4 และ www.tiscoasset.com หรือ แอปพลิเคชัน TISCO My Funds

© สงวนลิขสิทธิ์ 2561 ธนาคารทิสโก้ จำกัด มหาชน