TH EN

กองทุนแบบไหน ระยะสั้นมีโอกาสกำไร - ระยะไกลผลตอบแทนดี ?

โพสต์เมื่อ 12 ตุลาคม 2564 | บทความโดย : นางวรสินี เศรษฐบุตร ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์และสื่อสารการตลาด -
สายธุรกิจธนบดี ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน)

กองทุนแบบไหน ที่เหมาะกับการลงทุนระยะสั้น และแบบไหน ที่สามารถตอบโจทย์การลงทุนระยะยาวได้ ? เราได้วิเคราะห์ และคัดเลือกธีมกองทุนต่างๆ ที่มีในตลาด ให้เหลือเพียง 2 ธีมเด่น ที่คุณต้องการไว้ที่นี่แล้ว 

        นับตั้งแต่เกิดสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ภาพรวมของเศรษฐกิจโลกก็ไม่สดใสนัก ที่ผ่านมา ธนาคารทิสโก้ จึงแนะนำให้นักลงทุนเน้นกองทุนเมกะเทรนด์ ที่มีโอกาสเติบโตในระยะยาวเป็นหลัก แต่แน่นอนว่านักลงทุนหลายคนก็ยังคงมองหากองทุนที่มีโอกาสทำกำไรระยะสั้นด้วยเช่นกัน ดังนั้นในเดือน ต.ค. นี้ ธนาคารทิสโก้ จึงได้ คัดเลือกธีมลงทุนที่นักลงทุนตามหาทั้ง 2 รูปแบบ

ลงทุนระยะสั้นช่วงไตรมาส 4 : หุ้นยุโรป-ญี่ปุ่น ....ถูกและดี !!! 1

        เรียกได้ว่าตลาดหุ้นยุโรป และญี่ปุ่น มีเสน่ห์อย่างมากในตอนนี้ นั่นก็เป็นเพราะทั้งสองประเทศกำลังถูกแวดล้อมไปด้วยปัจจัยบวกจากหลายแง่มุม จนทำให้ทางศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) แนะนำให้ “เพิ่มน้ำหนักการลงทุน” (Overweight) เลยทีเดียว ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะ

        ยุโรป : เศรษฐกิจยังคงฟื้นตัวขึ้น จากภาคบริการเป็นหลัก อีกทั้งยังมีปัจจัยหนุนจากการที่กองทุนฟื้นฟูเศรษฐกิจ (EU Recovery Fund) ซึ่งใช้เป็นเครื่องมือในการช่วยเหลือประเทศสมาชิกที่ได้รับผลกระทบจาก COVID -19 วงเงินรวม 7.5 แสนล้านยูโร ได้เริ่มทยอยจัดสรรแล้วในเดือน ส.ค. และเงินอีกก้อนใหญ่ราว 60% จะถูกจัดสรรต่อเนื่องในปี 2022 จะเข้ามาช่วยหนุนให้ภาพรวมของเศรษฐกิจยุโรปฟื้นตัวดียิ่งขึ้น

        ญี่ปุ่น : มีปัจจัยหนุนในด้านเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มสดใสมากขึ้น โดยจะเห็นได้จากจำนวนผู้ติดเชื้อที่มีแนวโน้มผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว รวมถึงการแจกจ่าย วัคซีนที่ทำได้อย่างรวดเร็วและต่อเนื่องด้วย นอกจากนี้ในด้านของเงินเฟ้อก็ถือว่ายังไม่เร่งตัวขึ้นแรง เปิดทางให้สามารถใช้นโยบายผ่อนคลายการเงินนานกว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และที่สำคัญตลาดหุ้นญี่ปุ่นมักจะไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากการถอนนโยบายการเงินของ Fed ด้วย ดังนั้น จึงเรียกได้ว่าน่าสนใจอย่างมาก

        ประเด็นข้างต้น เป็นการหยิบยกปัจจัยที่โดดเด่นบางส่วนเท่านั้น ... ทีนี้ เราจะลองนำตลาดหุ้นยุโรป และญี่ปุ่น มาเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดที่นักลงทุนไทยส่วนใหญ่ให้ความสนใจและรู้จักเป็นอย่างดี

 

 

        จากภาพจะเห็นได้ว่าในปี2021 นี้ ตลาดหุ้นยุโรป (STOXX600) และตลาดหุ้นญี่ปุ่น (Nikkei225) มีประมาณการอัตราการเติบโตของกำไร (Earnings growth forcast) สูงกว่าเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ (S&P500) ซึ่งเป็นผลจาก 2 ประเด็นสำคัญ ได้แก่

        1.การพิจารณาปรับขึ้นภาษีในสหรัฐฯในช่วง ไตรมาส 4 : ส่งผลกระทบต่อกำไรของหุ้นในสหรัฐฯ

        2.Fed ถอนการผ่อนคลายนโยบายการเงิน : หุ้นในตลาดพัฒนาแล้ว (DM) มักจะปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งESU มองว่าตลาดหุ้นยุโรปน่าจะมี Upside มากสุด

        นอกจากนี้หากดูในแง่ Valuation ของตลาดหุ้นยุโรป และญี่ปุ่น ก็ถือว่ายังเทรดในระดับที่ “ถูกกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ค่อนข้างมาก” โดยค่า Forward P/E ของตลาดหุ้นยุโรป (STOXX600) และตลาดหุ้นญี่ปุ่น (Nikkei225) เทรดที่ Discount กับตลาดหุ้นสหรัฐฯ (S&P500) มากถึง -24% และ -29% ตามลำดับ ซึ่งนับว่าเป็น ระดับที่ Discount มากสุดในรอบกว่า 10 ปี

        สรุป : ตลาดหุ้นยุโรป และ ญี่ปุ่น เป็นตลาดที่หุ้นราคาถูกเมื่อเทียบกับสหรัฐฯ และมีปัจจัยบวกที่ดี เหมาะกับการลงทุนระยะสั้นในช่วงไตรมาส 4 นี้

 เมกะเทรนด์ : เกาะกระแสโลก เหมาะลงทุนยาว2

        การลงทุนในกองทุนรวมหุ้นเมกะเทรนด์ เป็นสิ่งที่ทิสโก้ได้แนะนำต่อเนื่องมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยเรามองว่าหลายธีมยังคงน่าสนใจ ได้แก่

        - กลุ่มนวัตกรรมทางการแพทย์อย่าง ไบโอเทคโนโลยี (Biotechnology) ซึ่งเป็นธีมคลาสสิก สำหรับการลงทุนระยะยาวและจะยังคงอยู่ในความต้องการของโลกไปอีกยาวนาน

        - กลุ่มธุรกิจเมกะเทรนด์ในจีน : แนะนำให้เน้นเลือกองทุนที่มีนโยบายในลงทุนใน 5 เมกะเทรนด์ของจีน ได้แก่ 1. ค้าขายออนไลน์ 2.ธุรกิจเทคโนโลยี 3.ธุรกิจนวัตกรรมการแพทย์ 4.ธุรกิจพลังงานสะอาด 5.ยานพาหนะไฟฟ้า เพราะมีอนาคตสดใส ในด้านความต้องการใช้ของผู้บริโภค

        และ อีกหนึ่งธุรกิจดาวรุ่งที่แม้จะไม่ได้จัดอยู่ในกลุ่มเมกะเทรนด์ แต่ก็ถือว่ามีแนวโน้มสดใส สามารถลงทุนได้ในระยะกลาง (ลงทุนได้จนถึงปี 2022) คือ กลุ่ม Semiconductor หรือ “ชิป”

        ซึ่งธนาคารทิสโก้คาดการณ์ว่า ธุรกิจนี้จะเติบโตได้ดี เนื่องจาก “ชิป” เป็นสิ่งที่ฝังตัวอยู่ในนวัตกรรมต่างๆ หลายอุตสาหกรรม เช่น เทคโนโลยีรถขับเคลื่อนอัตโนมัติ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) หุ่นยนต์ 5G และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ ดังนั้นจึงเป็นธุรกิจที่สำคัญ ทั้งในปัจจุบันและอนาคตเลยก็ว่าได้

        สรุป : กองทุนกลุ่มนวัตกรรมทางการแพทย์ด้านไบโอเทคโนโลยี กลุ่มธุรกิจเมกะเทรนด์ในจีน เป็นกลุ่มที่เหมาะกับการลงทุนในระยะยาว ส่วนกลุ่มธุรกิจ Semiconductor เหมาะกับการลงทุนระยะกลาง (ลงทุนได้จนถึงปี 2022)

อ่านมาถึงตรงนี้ หากคุณสนใจกองทุนรวม ที่มีนโยบายการลงทุนในแบบที่เราแนะนำ สามารถคลิกลิงก์ด้านล่าง เพื่อติดตามรายละเอียดกองทุนรวมที่เราคัดสรรมาให้ตามธีม หรือกรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ

 

ที่มา

1.- 2. ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TIPS – October 2021)

© สงวนลิขสิทธิ์ 2561 ธนาคารทิสโก้ จำกัด มหาชน